Main Menu

Recent posts

#1

TOYOTA ALL NEW YARIS ATIV Premium Luxury เปิดประสบการณ์ใหม่ของการเป็นเจ้าของ กับ ยาริส 2023 ที่ออกแบบมาอย่างปราดเปรียว คล่องตัว เหมาะกับการใช้งานในเมือง หรือจะใช้เดินทางไกลก็ไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว ในปีนี้ได้มีการยกโฉมใหม่ ออกแบบใหม่ ให้ลงตัวยิ่ง ทั้งเรื่องภาพลักษณ์ภายนอก และความสะดวกสบายภายใน ที่สำคัญระบบความปลอดภัย ที่จัดมาให้พิเศษกว่าเดิม
ขุมกำลังของ TOYOTA ALL NEW YARIS ATIV Premium Luxury

เครื่องยนต์
•   ใช้เครื่องยนต์ 3NR-VE / 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว แบบ Dual VVT-iE
•   ปริมาตรความจุของกระบอกสูบอยู่ที่ 1,197 ซีซี
•   กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 69 แรงม้า ที่/ 6,000 รอบต่อนาที
•   แรงบิดสูงสุดของเครื่องยนต์ 110/ 4,400 นิวตัน-เมตร/รอบต่อนาที
•   รองรับการใช้น้ำมัน E20
•   ความจุถังน้ำมัน 42 ลิตร
•   อัตราประหยัดน้ำมัน 23.3 กิโลเมตร/ลิตร

ขนาดของรถ
เป็นรถยนต์ที่สามารถโดยสารได้ทั้งหมด 5 คน ขนาดของรถแบบ ยาวxกว้างxสูง (มม.) อยู่ที่ 4,425 x 1,740 x 1,480 มิลลิเมตร

ระบบการสั่นสะเทือน
รุ่นนี้ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบ 2 ล้อ ใช้เกียร์แบบอัตโนมัติ Super CVT-I พร้อมกับ Sequential Shift ระบบกันสะเทือนด้านหลัง ใช้เป็น แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง / ทอร์ชั่นบีมและคอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ใช้ล้อแบบอัลลอยขนาด 16 นิ้ว

ดีไซน์ภายนอก
รุ่นนี้ได้ระบบไฟหน้าแบบ FULL LED ที่มีความสว่างมากกว่าหลอดธรรมดา หลังคาเป็นแบบมาตรฐานทั่วไป

ดีไซน์ภายใน
ด้านในห้องโดยสาร ได้เป็นเบาะหนังแท้และหนังสังเคราะห์ เพิ่มความหรูหราให้กับตัวรถ เบาะนั่งด้านคนขับเป็นแบบธรรมดา แต่สามารถปรับระดับสูง-ต่ำ ได้

อุปกรณ์อำนวยความสะดวก

รุ่นนี้ได้จอแสดงผลข้อมูลการขับขีขนาด 7 นิ้ว พร้อมกับเครื่องเสียงระบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย Bluetooth Apple CarPlay และ Android Auto / T-Connect / USB ฝาท้ายกระโปรง  เป็นแบบเปิด-ปิดธรรมดา

ระบบความปลอดภัยของ TOYOTA ALL NEW YARIS ATIV Premium Luxury
ถุงลมนิรภัยระบบ SRS คู่หน้า ด้านข้าง และม่านด้านข้าง มีระบบช่วยเตือนเมื่อยู่ในมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM ช่วยเตือนในขณะที่ถอยรถ RCTA มีสัญญาณกะระยะในการถอย ระบบควบคุมความเร็วแบบอัตโนมัติ (Cruise Control) แบบ All Speed และกล้องมองรอบคัน ที่จะช่วยให้การถอยหรือการขับขี่ของผู้ขับขี่ มีความมั่นใจ และรู้สึกปลอดภัยยิ่งขึ้น

ราคา
TOYOTA ALL NEW YARIS ATIV Premium Luxury มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 699,000 บาท

เรียกว่าเป็นการรอคอยที่คุ้มค่าจริงๆ สำหรับ TOYOTA ALL NEW YARIS ATIV Premium Luxury ในปีนี้ ทำออกมาได้ดีเกินคาดเลย ไม่ว่าจะเป็นของที่ให้ก็ดี รูปลักษณ์การออกแบบ ที่สวยงาม มีความทันสมัย เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน จะใช้ในเมืองหรือเดินทางออกต่างจังหวัด ก็ทำได้สบายมาก เมื่อมีเจ้าคันนี้ ก็พร้อมพาคุณเดินทางไปได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล
#2

Mitsubishi Triton Mega Cab Plus ต่อให้เส้นทางนั้นจะยากเย็นแค่ไหน ก็เป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที เมื่อคุณเดินทางไปพร้อมกับ มิตซูบิชชิ รุ่นนี้ทำออกมาได้ตอบโจทย์คนที่ต้องการใช้งานบรรทุกของหนักได้ดีมาก ทั้งเรื่องความแข็งแกร่ง ทนทาน และความแรงของเครื่องยนต์แบบใหม่ ทำให้งานไหนก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้ว เชื่อว่าท่านที่ได้เห็นรายละเอียดของรุ่นนี้ ต้องตื่นเต้นแน่นอน

เครื่องยนต์และสมรรถนะ
Mitsubishi Triton Mega Cab Plus มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 4N15 DOHC 16 วาล์ว MIVEC VG Turbo Intercooler
•    กำลังสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที
•    เครื่องยนต์ขนาด 2,442 ซีซี
•    แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที
•    ระบบเกียร์แบบอัตโนมัติ 6 สปีด
•    อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ 13.2 กิโลเมตร/ลิตร
•    รองรับน้ำมัน ดีเซล

ดีไซน์ภายนอก
ภายนอกของ Mitsubishi Triton Mega Cab Plus ออกแบบมาให้ดูเรียบง่าย แต่ว่าโฉบเฉี่ยว และว่องไว แต่ก็เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและพละกำลัง ไฟหน้าเปลี่ยนใหม่เป็นแบบโปรเจคเตอร์ Bi-LED ไฟตัดหมอกแบบ LED มีไฟส่องสว่างในตอนกลางวัน, ไฟท้ายแบบ LED, กระจังมาพร้อมกับช่องลมขนาดใหญ่เสริมด้วยกันชนล่างสีดำ, กระจกมองข้างสีดำ เป็นแบบที่มีไฟเลี้ยวในตัว สามารถพับเก็บแบบไฟฟ้าอัตโนมัติเมื่อจอด, มีไฟตัดหมอก, ระบบควบคุมระยะการจอดพร้อมกล้องมองหลังทุกทิศทาง

ดีไซน์ภายใน
ตกแต่งห้องโดยสารด้วยสีดำ, มาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ติดตั้งตรงคอนโซลกลาง ทำให้การควบคุมและดูรายละเอียดต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้น, พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น ควบคุมหน้าจอและแสดงข้อมูลการขับขี่ได้อย่างครบถ้วน, การตกแต่งห้องโดยสารแบบหรูหรา เบาะนั่งทูโทน ให้ความรู้สึกสปอร์ต, เบาะนั่งคนขับเป็นแบบไฟฟ้า สามารถปรับได้ 8 ทิศทาง, เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง, ระบบปรับอากาศแบบธรรมดาและแบบอัตโนมัติ, รองรับการเชื่อมต่อไร้สายแบบ Bluetooth และสามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ได้ มีช่องเสียบ USB ทั้งหมด 2 ตำแหน่ง

ระบบความปลอดภัยของ
Mitsubishi Triton Mega Cab Plus มีระบบความปลอดภัยดังนี้คือ ถุงลมนิรภัยตรงที่นั่งคู่หน้า, คานเหล็กนิรภัย, ระบบเบรกแบบ ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเสริมแรงเบรก, ตัวช่วยควบคุมการทรงตัว, ระบบช่วยป้องกันล้อหมุนฟรี, เข็มขัดนิรภัยสามารถปรับระดับได้ และดึงกลับอัตโนมัติระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, การไล่ฝ้ากระจกหลัง, ระบบไฟฉุกเฉิน เมื่อมีการเบรกอัตโนมัติ, ระบบป้องกันการล็อกจากด้านใน, ระบบป้องกันการหมุนฟรี, กล้องมองรอบคันขณะขับขี่ พร้อมกับแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ

ราคาจำหน่าย 807,000 บาท
เป็นอย่างไรบ้างกับ Mitsubishi Triton Mega Cab Plus  รุ่นนี้ จะเห็นว่าเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อน รุ่นของปี 2023 ได้อะไรเยอะกว่าหลายเท่าเลย ฉะนั้นถ้าท่านอยากจะได้กระบะแข็งแกร่งเอาไว้ใช้งาน ที่สามารถเผชิญได้ทุกเส้นทาง ทุกสภาพพื้นผิว บรรทุกได้เยอะ เลือกรุ่นนี้ จบทุกปัญหาได้เลย
#3

ขึ้นชื่อเป็นรถยี่ห้อ Rolls-Royce ล่ะก็ เรื่องราคาไม่ต้องพูดถึง เพราะมันแพงหูฉี่อย่างที่ทราบกันดี และในบทความนี้จะมาพูดถึงรถจากค่ายนี้กัน อย่างรุ่น Rolls-Royce Boat Tail ซึ่งคือรถยนต์ที่แพงที่สุดในโลกของปี 2023 ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 890 ล้านบาท ราคาของรถสูงมากๆ ทิ้งอันดับ 2 อย่าง Bugatti La Voiture Noire ที่มีราคา 598 ล้านบาท ไปไกลลิบเลยทีเดียว ทำไมรถคันนี้ถึงแพงที่สุด จะมาเจาะลึกดูกันอย่างลึกซึ้งต่อจากนี้

    ความพิเศษของ Rolls-Royce Boat Tail คือการถูกผลิตขึ้นเพียง 3 คันในโลกเท่านั้น เป็นรุ่นพิเศษของทางค่าย ทำมาเพื่อเศรษฐีรสนิยมสูงที่ชอบสะสมเป็นพิเศษ แน่นอนว่าราคาระดับนี้ คนธรรมดาหมดโอกาสที่จะจับต้องอย่างแน่นอน Rolls-Royce Boat Tail เป็นรถเปิดประทุน 2 ประตู ที่ได้แนวคิดจากการสร้างเรือ มาออกแบบเป็นสุดยอดรถยนต์คันนี้ ทั้งยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจอย่างการซ่อนร่มกันแดดไว้ภายใต้คอนโซลอีกด้วย ติดตั้งไว้แถวคอนโซลกลาง ที่จะใช้ระบบเลื่อนสไลด์เปิดปิดด้วยระบบไฮดรอลิกของหลังคา

    สาเหตุที่ผลิตขึ้นมาเพียง 3 คันเท่านั้น เพราะก่อนจะเริ่มผลิต โรลส์-รอยซ์ ได้มีการพูดคุยตกลงกับลูกค้าที่ต้องการรถคันนี้ โดยมีทั้งหมด 3 คนด้วยกัน โดยใช้เวลาผลิตราวๆ 4 ปี สำหรับจุดเด่นของ Rolls-Royce Boat Tail ทั้งหมดมีดังต่อไปนี้

-    การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรือยอร์ชระดับ J Class
-    ส่วนท้ายของรถได้ใช้แผงไม้วีเนียร์ตกแต่งภายนอกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ Rolls-Royce
-    แล้วเป็นครั้งแรกที่ Rolls-Royce ใช้ไม้ตกช่วงล่างและพื้นภายห้องโดยสารของรถทั้งหมด
-    ภายในรถมีนาฬิกา BOVET 1822 หนึ่งเรือนติดตั้งอยู่บนแผงหน้าปัด
-    บานปิดของส่วนท้ายรถ มีที่เก็บหลังคาที่สามารถเปิดทำมุมได้อย่างเหมาะสมอยู่ที่ 67 องศา ซึ่งแต่ละด้านสามารถให้บริการอาหารและเครื่องดื่มได้ โดยด้านหนึ่งให้บริการด้านอาหาร ส่วนอีกด้านให้บริการเครื่องดื่มนั่นเอง
-    รถมีตู้สำหรับแช่เย็นแชมเปญ
-    ในส่วนของฝั่งด้านอาหาร จะมีเครื่องถ้วยชามพอร์ซเลนและเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่แกะสลักชื่อของ Boat Tail เฉพาะตัว
-    โต๊ะด้านหลังถูกตกแต่งขั้นตอนสุดท้ายด้วยไม้ Caleidolegno มาใช้ในลายคีย์บอร์ดเปียโน
-    เก้าอี้บาร์สูงทำจากเส้นใยไฟเบอร์ด้วย Promemoria แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากประเทศอิตาลี
-    รถมีชุดเครื่องเสียง Bespoke Audio พร้อมลำโพงคุณภาพสูงอยู่ 15 ตัว ติดตั้งอยู่ในพื้ห้องโดยสารทั้งหมด

คุณภาพของรถของ Rolls-Royce ไว้วางใจได้ดีอยู่แล้วว่าสุดยอดแค่ไหน แล้วในรุ่น Rolls-Royce Boat Tail ที่เป็นรถที่แพงที่สุดในโลก ฉะนั้นหายห่วงได้เลยว่าทั้ง 3 คันที่ค่ายผลิตออกมา และคาดว่าตำแหน่งของรถที่แพงที่สุดนี้จะอยู่ต่อไปอีกหลายปี
#4

Nissan Navara King Cab Calibre V 7AT ไม่ว่าเส้นทางของคุณจะเป็นอย่างไร สามารถลุยได้ได้ทุกที่ มั่นใจได้เกินร้อยกับ นิสสัน นาวาร่า ใหม่ รุ่นนี้ ที่มาพร้อมกับสมรรถนะที่ทรงพลัง ที่ทำให้การเดินทางที่ยากลำบาก กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที จะงานหนักงานเบา ก็เบาะสมทุกการใช้งาน และรุ่นนี้ยังมาพร้อมกับระบบที่มีความอัจฉริยะยิ่งขึ้น ให้คุณกล้าที่จะลุยทุกที่ทุกเวลา

เครื่องยนต์และสมรรถนะ
Nissan Navara King Cab Calibre V 7AT รุ่นนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่แบบ YS23DDTT, 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบแปรผัน VGS อินเตอร์คูลเลอร์
•   ขนาดเครื่องยนต์ (CC) 2,298 CC
•   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า) 190 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที
•   แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร/1,500-2,500 รอบต่อนาที
•   ระบบเกียร์ เกียร์ออโต้ 7AT
•   รองรับเชื้อเพลิง ดีเซล, ไบโอดีเซล B5, ไบโอดีเซล B20

ดีไซน์ภายนอก
เพียงแค่เห็น Nissan Navara King Cab Calibre V 7AT ภายนอก ก็บอกได้เลยว่ารุ่นนี้มีความบึกบึน ความแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ รุ่นนี้มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ LED ที่มีระบบเปิด-ปิดแบบอัตโนมัติ, มาพร้อมกับระบบ Follow-Me-Home, ไฟตัดหมอกแบบ LED, กระจกมองด้านข้างมีไฟเลี้ยวในตัว แบบ LED, มาพร้อมกับไฟ Daytime Running Light, การเปิดปิดไฟสูง ไฟต่ำ แบบอัตโนมัติ, ที่ปัดน้ำฝนแบบพิเศษ ที่เปิดปิดแบบอัตโนมัติ

ดีไซน์ภายใน
ภายในห้องโดยสารของ Nissan Navara King Cab Calibre V 7AT รุ่นนี้ ตกแต่งด้วยสี Piano Black, พวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ หุ้มด้วยหนัง, สามารถปรับระดับสูงต่ำได้ตามความเหมาะสมของผู้ขับ, ภายในห้องโดยสารทั้งหมดเป็นสีดำ, กระจกมองด้านหลัง เป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ, อุปกรณ์แสดงข้อมูลการขับขี่แบบ 3 มิติ หัวเกียร์เป็นแบบหุ้มหนัง, มีที่เสียบแปลงไฟขนาด 12 โวลต์

เทคโนโลยีและความปลอดภัย
ในเรื่องของความปลอดภัยของ Nissan Navara King Cab Calibre V 7AT รุ่นนี้ ก็ไม่ทำให้ผิดหวังอีกเช่นเคย อีกทั้งยังได้ของที่พิเศษกว่ารุ่นก่อนๆ ด้วยซ้ำ มีอะไรบ้าง

เข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง สามารถปรับระดับได้ และดึงกลับอัตโนมัติ, ถุงลมนิรภัยตรงที่นั่งคู่หน้า ระบบเบรกแบบ ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์, ระบบเสริมแรงเบรก, ตัวช่วยควบคุมการทรงตัว, ระบบช่วยป้องกันล้อหมุนฟรี, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, คานเหล็กนิรภัย, การไล่ฝ้ากระจกหลัง, ระบบไฟฉุกเฉิน เมื่อมีการเบรกอัตโนมัติ, สัญญาณกันขโมย กล้องมองรอบคันขณะขับขี่, กล้องบันทึกขณะขับขี่

ราคาจำหน่าย 889,000 บาท
เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ต้องบอกว่าน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว จะเห็นว่า Nissan Navara King Cab Calibre V 7AT มีราคาที่ถูกกว่ากระบะในคลาสเดียวกันค่อนข้างเยอะเลย แต่เมื่อดูของที่ให้มาแล้ว จะเห็นว่ารุ่นนี้ให้มาครบกว่าในบางยี่ห้อด้วยซ้ำ
#5

เกาะช้าง อีกหนึ่งเกาะที่ท่านไม่ควรพลาดเลย เพราะว่าเป็นเกาะที่น่าเที่ยวมาก อันนี้ไม่ใช่เกาะที่อยู่ภาคตะวันออก แต่เป็นเกาะทางภาคใต้ อยู่ที่จังหวัด ระนอง สาเหตุที่ได้ชื่อเช่นนี้ ก็เพราะว่าลักษณะของเกาะ เหมือนกับรูปช้างทุกอย่าง ก็เลยเป็นที่มาของชื่อ ส่วนความสวยงาม หรือธรรมชาติของเกาะที่นี่ ต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดา สวยงามสุดๆ เราก็เลยนำข้อมูลดีๆ มาบอกให้กับทุกท่านได้ดูเอาไว้ก่อน เพื่อเป็นประโยชน์ในการติดสินใจก่อนเดินทางไป

กิจกรรมที่น่าสนใจ
ที่เกาะช้างแห่งนี้ ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดอีกเกาะหนึ่ง นอกจากจะมีที่เที่ยวแล้ว ยังมีสัตว์ป่าหลายชนิดให้ได้เห็น โดยเฉพาะพวกนก นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านมาทำสวนอีกด้วย ดังนั้นที่เกาะช้างจึงเป็นทั้งที่อยู่ของชาวบ้าน และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปในตัว หากคุณได้มาเที่ยวที่ เกาะช้าง สิ่งที่จะพลาดไม่ได้เลยก็คือ
•   การเล่นน้ำ ที่เกาะช้าง มีอ่าวหลายอ่าวให้ได้เที่ยว แต่ถ้าท่านต้องการอยากจะลงเล่นน้ำ แนะนำว่าให้ลงเล่นที่ อ่าวใหญ่ จะดีที่สุด เพราะว่าเหมาะสมที่สุด บรรยากาศที่อ่าวนี้ค่อนข้างเงียบสงบ หรือท่านจะดำน้ำดูปะการัง ที่อ่าวแห่งนี้ก็มีให้ดูเช่นกัน
•   ชมธรรมชาติ หากท่านอยากจะดูธรรมชาติ หรือศึกษาเกี่ยวกับนกประเภทต่างๆ ที่เกาะช้าง ก็มีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้เดินศึกษาเช่นกัน เป็นการเดินชมวิวไปในตัวด้วย ได้ความรู้ด้วย
•   ชมวิถีชีวิตของคน ที่หมู่บ้านบนเกาะช้าง มีการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างเรียบง่าย ท่านสามารถเข้าไปชมวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ได้ ส่วนใหญ่แล้วชาวบ้านที่นี่จะทำประมงเป็นหลัก และที่จะพลาดไม่ได้เลย ที่อ่าวแห่งนี้ มีจุดชมวิวที่สวยงามมากๆ โดยเฉพาะในช่วงพระอาทิตย์ตก เป็นภาพที่สวยงามที่สุด ยิ่งประกอบกับบรรยากาศที่เงียบสงบด้วย คุณจะรู้สึกผ่อนคลายทันที

การเดินทาง
สามารถเดินทางาได้ทั้งทางรถยนต์ รถโดยสารประจำทาง เมื่อมาถึงที่จังหวัดระนองแล้ว ต้องนั่งเรือต่อไปยังเหมาะ ซึ่งจะมีท่านเทียบเรือให้ขึ้น และเรือจะไปส่งตามเกาะต่างๆ ที่ท่านต้องการลง

ค่าบริการในการเข้าชม ฟรี

ที่พักและอาหาร
เรื่องของที่พักบนเกาะช้าง ไม่มีอะไรต้องห่วง เพราะว่ามีให้บริการเยอะมาก ทั้งรีสอร์ท บังกะโล และห้องพักทั่วไป จะมาเที่ยวแบบคนเดียว กับคู่ หรือกับครอบครัว ก็เลือกได้ตามความเหมาะสมของแต่ละท่าน ส่วนอาหารการกินก็มีทั้งที่เป็นของที่พัก และร้านอาหารทั่วไป อาหารก็รสชาติอร่อย มีทั้งอาหารทั่วไป และอาหารพื้นถิ่นของที่นั่น

พิกัดของ เกาะช้าง
ตั้งอยู่ที่ ตำบลเกาะพยาม อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง
#6

ในโลกใบนี้มีสนามกีฬาอยู่เยอะมากๆจากกีฬาหลายๆประเภท โดยเฉพาะฟุตบอลที่แทบทุกเมืองจะต้องมีอย่างน้อยอยู่ 1 สนามแน่ๆ แล้วบางเมืองก็มีอยู่หลายสนาม เช่น ลอนดอนในประเทศอังกฤษ ที่มีสนามฟุตบอลเยอะมากๆทั้งของ เชลซี อาร์เซน่อล และ สเปอร์ เป็นต้น บทความนี้จึงได้รวบรวมข้อมูลของ 10 สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลกว่ามีที่ไหนกันบ้าง แล้วแต่ละสนามมีความจุได้เยอะขนาดไหน

10 สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลกปี 2023

10. สนามซอลต์ เลค สเตเดี้ยม (อินเดีย)
นี่คือสนามกีฬาแห่งชาติของอินเดีย ที่ใช้จัดกีฬาสำคัญต่างๆอยู่ตลอด มีความจุอยู่ที่ 85,000 คน

9. บอร์ก เอล อาหรับ สเตเดี้ยม (อียิปต์)
สนามกีฬากลางของประเทศอียิปต์ ที่จะใช้จัดการแข่งขันในเกมสำคัญๆอยู่เสมอ โดยเฉพาะกับทีมฟุตบอลของชาติ มีความจุอยู่ที่ 86,000 คน

8. สนามกีฬาแห่งชาติบูกิตจาลิล (มาเลเซีย)
สนามกีฬาแห่งนี้เป็นสนามที่คนไทยเราคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะว่าได้เห็นและได้ยินชื่อบ่อยๆเมื่อยามที่ทีมชาติไทยต้องไปเยือนมาเลเซียในการแข่งขันฟุตบอล ความจุของสนามนี้อยู่ที่ 87,411 คน

7. เอสตาดิโอ อัซเตก้า (เม็กซิโก)

สนามของเอสตาดิโอ อัซเตก้า ของประเทศเม็กซิโกมีขนาดใหญ่มากๆเช่นกัน มีความจุสูงถึง 87,523 คน เป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอีกด้วย

6. เวมบลีย์ สเตเดี้ยม (อังกฤษ)
สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษ ใช้จัดเกมกีฬาใหญ่อยู่เสมอ เช่น ฟุตบอล รักบี้ เป็นต้น และใช้จัดงานคอนเสิร์ตระดับโลกมากมาย มีความจุอยู่ที่ 90,000 คน

5. โรส โบวล์ (สหรัฐอเมริกา)
ประวัติความเป็นมาของสนามแห่งนี้มีเยอะมากๆ เพราะเป็นสนามขนาดใหญ่ที่เปิดใช้งานมาอย่างยาวนาว โดยเปิดใช้ครั้งแรกเมื่อปี 1922 ถูกใช้งานในกีฬาสำคัญๆมาเสมอ นี่คือสนามกีฬาขนาดใหญ่ที่สุดของอเมริกาอีกด้วย มีความจุที่ 90,888 คนในปัจจุบัน

4. เอฟเอ็นบี สเตเดี้ยม (แอฟริกาใต้)
สนามกีฬาถูกปรับปรุงขนาดใหญ่สำหรับฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศเป็นเจ้าภาพ โดยเป็นสนามแห่งชาติที่สำคัญของประเทศ มีความจุ 94,736 คน แล้วยังเป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดของทวีปแอฟริกาอีกด้วย

3. คัมป์ นู (สเปน)
สนามเหย้าบ้านของบาร์เซโลน่า ที่ยังคงครองแชมป์สนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดของทุกสโมสรในโลกมานานหลายปี เดิมทีมีความจุเกิน 1 แสนคน แต่เพื่อความปลอดภัยต่างๆจึงได้มีการแก้ไขปรับปรุง ตอนนี้ความจุอยู่ที่ 99,354 คน

2. เมลเบิร์น คริกเก็ต กราวนด์ (ออสเตรเลีย)
สนามกีฬากลางของออสเตรเลียมีความจุที่เยอะมากๆระดับ 100,024 คนเลยทีเดียว ชื่อสนามบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าใช้แข่งขันกีฬาอะไรเป็นพิเศษ ก็คือ คริกเก็ต กีฬาประจำชาติ แล้วยังเป็นทีมชั้นนำของโลกอีกต่างหาก

1.   สนามกีฬารึงนาโด (เกาหลีเหนือ)
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่ประเทศเกาหลีเหนือ เพราะมีความจุที่มากถึง 114,000 คนเลยทีเดียว เป็นสนามที่ออกสู่สายตาโลกน้อย แต่ความใหญ่โตของที่นี่ต้องบอกว่าของจริง
#7

ประวัติ ซาอิด เบนราห์มา แนวรุกทีมชาติแอลจีเรียของ เวสต์แฮม
ทีมชาติ : แอลจีเรีย 21 นัด – 1 ประตู (2015-?)
สโมสรปัจจุบัน : เวสต์แฮม 136 นัด – 24 ประตู (2021-?)


ซาอิด เบนราห์มา (Saïd Benrahma) เกิดวันที่ 10 สิงหาคม 1995 ที่ประเทศแอลจีเรีย เริ่มต้นเล่นฟุตบอลระดับเยาวชน กับสโมสร NRB Bethioua (2004-2006) ต่อด้วย Balma SC (2010-2011) ตามด้วย Colomiers (2011-2013) จากนั้นย้ายสู่ นีซ แล้วได้ลงเล่นลีกเอิง 2013/14 จำนวน 5 นัด แล้วในฤดูกาล 2014/15 ได้เล่นลีกเอิงอีก 3 นัด ต่อด้วยฤดูกาล 2015/16 ได้เล่นลีกเอิงอีก 9 นัด ยิง 2 ประตู ก่อนจะถูกส่งให้ อองเชร์ ยืมตัวในฤดูกาลเดียวกัน ได้ลงสนาม 12 นัด ยิง 1 ประตู

ฤดูกาล 2017/18 ซาอิด เบนราห์มา ย้ายไปเล่นแบบยืมตัวกับ Châteauroux (ลีก 2) ยิง 12 ประตูจาก 34 นัดรวมทุกรายการ ซึ่งจากผลงานดังกล่าว ส่งผลให้ เบรนท์ฟอร์ด (เดอะ แชมป์เปียนชิพ) เปิดตัวในฤดูกาล 2018/19 ด้วยการยิง 11 ประตูจาก 45 นัดรวมทุกรายการ ต่อด้วยการยิง 17 ประตูจาก 46 นัดรวมทุกรายการ ซึ่งจากผลงานดังกล่าวทำให้ เวสต์แฮม (พรีเมียร์ลีก) ซื้อตัวไปร่วมทีมในฤดูกาล 2020/21

ฤดูกาล 2020/21 ซาอิด เบนราห์มา เป็นตัวหลักของ เวสต์แฮม ลงเล่น 33 นัดรวมทุกรายการ ยิง 1 ประตู แล้วได้โอกาสมากขึ้นในฤดูกาล 2021/22 ลงเล่น 48 นัดรวมทุกรายการ ยิง 11 ประตู หนึ่งในนั้นคือการยิง 1 ประตูใส่ นิวคาสเซิล (ชนะ 4-2) และ 1 ประตูใส่ เลสเตอร์ (ชนะ 4-1) ในสองนัดแรกของซีซั่นนั้น นอกจากนั้นแล้วยังยิงอีก 1 ประตูใส่ แมนฯยู (แพ้ 1-2) และอีก 2 ประตูใส่ นอริช (ชนะ 4-0)

ฤดูกาล 2022/23 ซาอิด เบนราห์มา ฟอร์มดร็อปไปพอสมควรในช่วงต้นฤดูกาล กว่าจะยิงได้ต้องรอถึงพรีเมียร์ลีก นัดที่ 13 โดยยิง 1 ประตูในเกมกับ บอร์นมัธ (ชนะ 2-0) แล้ววันที่ 16 เมษายน 2022 เบนราห์มายิงอีก 1 ประตูใส่ อาร์เซน่อล (เสมอ 2-2) แล้วก็ยิงอีก 1 ประตู ในพรีเมียร์ลีก นัดที่ 35 ในเกมชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0

นอกจากนั้นแล้วยังยิงอีก 3 ประตูใน คอนเฟอเรนซ์ลีก 2022/23 มีส่วนสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ โดยมีส่วนร่วม 11 จาก 13 นัด หนึ่งในนั้นคือการอยู่ในสนาม 76 นาที ในเกมนัดชิงชนะเลิศที่ชนะ ฟิออเรนติน่า 2-1 โดยที่ เบนราห์มาเป็นคนยิงให้ทีมออกนำ 1-0
ฤดูกาล 2023/24 ซาอิด เบนราห์มา ยังอยู่กับ เวสต์แฮม ลงเล่น 3 นัด ยังยิงประตูไม่ได้

ในส่วนของการเล่นทีมชาติ ซาอิด เบนราห์มา ได้ค่อยได้รับโอกาสจาก ทีมชาติแอลจีเรีย ไม่มากนัก เปิดตัวในวันที่ 13 ตุลาคม 2015 ได้ลงเล่น 20 นาที ในเกมอุ่นเครื่องที่แพ้ เซเนกัล 0-1 จากนั้นต้องรอถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2021 ถึงจะยิงประตูแรกในทีมชาติได้ โดยยิง 1 ประตู จ่าย 2 แอสซิสต์ ในบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก ที่เอาชนะ Djibouti 4-0
ข้อมูลนับถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2023

#8

อีกหนึ่งตำนานของ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เคยยิงประตูถล่มทลาย จนหลายทีมจ้างตากันเป็นมัน อยากจะได้เขามาร่วมทีมด้วย นั่นก็คือ ริยาด มาห์เรซ นักเตะชาวฝรั่งเศส เราจะมาทำความรู้จักกับเขาคนนี้ให้มากขึ้นกัน

ชื่อเต็ม ริยาด กะรีม มาห์เรซ
วันเกิด 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1991 (32 ปี)   
สถานที่เกิด ซาร์แซล ฝรั่งเศส
ทีมชาติ แอลจีเรีย
ส่วนสูง 1.79 ม. (5 ฟุต 10 1⁄2 นิ้ว)
ตำแหน่ง ปีก


เส้นทางของการเป็นนักฟุตบอลของ ริยาด มาห์เรซ
ชีวิตวัยเด็กของ มาห์เรซ เป็นเด็กที่ชื่นชอบฟุตบอลมาตั้งแต่ที่จำความได้เลย แต่อุปสรรคของเขาก็คือตัวเล็ก และบางเกินไป ทำให้หลายทีมในขณะนี้ไม่อยากจะได้มาร่วมทีมด้วย แต่กระนั้นเขาก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ยังฝันจะเล่นฟุตบอลต่อ โดยได้เล่นให้กับทีม อาแอ็ส ซาร์แซล จากนั้นก็ย้ายไปที่ทีม แก็งแปร์ ลีกในฝรั่งเศส ซึ่งไม่ดังมากนัก

หลังจากนั้นเขาก็ได้ย้ายไปที่ เลออาฟร์ แต่อยู่ตำแหน่งผู้เล่นสำรองอยู่นั่นเกือบ 3 ปี ถึงจะได้ขยับไปเล่นชุดใหญ่ และเส้นทางฟุตบอลสายอาชีพของ มาห์เรซ ก็เริ่มตั้งแต่ปี 2013 หลังจากที่เล่นให้ทีมอยู่ 3 ปี ทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งตอนนั้นอยู่ดิวิชั่น 2 ได้ซื้อตัวไปในราคา 400,000 ปอนด์
หลังจากที่ย้ายมาที่ เลสเตอร์ ซิตี้ เขาก็สามารถโชว์ฟอร์มออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และยิ่งมีเพื่อนร่วมทีมที่เข้าขากันด้วย ทำให้ในฤดูกาล 2015-2016 เลสเตอร์ ซิตี้ ก็คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกจนได้ กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่เหลือเชื่อสุดและในปีนั้น เจ้าตัวก็ได้รับรางวัลมากมายด้วย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ หลังจากที่พอทีมได้แชมป์แล้ว ก็มีทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมติดต่อมาขอซื้อตัว แต่ยังเล่นให้กับเลสเตอร์ถึงปี 2018 จากการลงเล่นทั้งหมด 158 นัด ยิงประตูได้ทั้งหมด 42 ประตู

และในฤดูกาลต่อมาปี 2018-2022 มะห์รัซ ก็ได้ย้ายไปที่เรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่นี่เขาทำผลงานได้ดีมาก พาทีมคว้ามแชมป์พรีเมียร์ลีกถึง 3 ฤดูกาล ซึ่งถือว่าเยอะมาก และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย หลังจากที่เล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ถึง 5 ปีลงเล่นไปทั้งหมด 145 นัด ยิงประตูได้ทั้งหมด 43 ประตู ในปี 2023 มาห์เรซ ก็ได้ย้ายทีมอีกครั้ง อัลอะฮ์ลี เป็นสโมสรในลีก ประเทศซาอุดิอาราเบีย

รางวัลส่วนตัว

•   ผู้เล่นชาวอัลจีเรียยอดเยี่ยม ในปี 2015,2016
•   ผู้เล่นยอดเยี่ยมของเลสเตอร์ ซิตี้ปี 2015-2016
•   Facebook FA Premier League Player of the Year: 2016
•   CAF African Footballer of the Year: 2016
•   CAF Team of the Year: 2016,2018
•   CAF Africa Cup of Nations Team of the Tournament: 2019
•   El Heddaf Arab Footballer of the Year: 2016
•   PFA Players' Player of the Year
#9

ประวัติ โรดรี้ กองกลางทีมชาติสเปนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ทีมชาติ : สเปน 43 นัด ยิง 1 ประตู
สโมสรปัจจุบัน : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 211 นัด ยิง 18 ประตู

โรดรีโก้ เอร์นานเดซ (Rodrigo Hernández) เกิดวันที่ 22 มิถุนายน 1996 ที่ประเทศสเปน เริ่มต้นเล่นฟุตบอลระดับเยาวชน กับสโมสร ราโย่ มาฆาดาฮอนดา (2006-2007) ต่อด้วย แอตเลติโก้ มาดริด (2007-2013) แล้วย้ายมาอคาเดมี่ของ บีญาร์เรอัล (2013-2015)

ช่วงปี 2015 โรดรี้ มีโอกาสเล่นให้ บีญาร์เรอัล B แล้วได้ขึ้นไปเล่นกับทีมชุดใหญ่ของ บีญาร์เรอัล ในฤดูกาล 2015/16 มีส่วนร่วม 3 นัด เข้าสู่ฤดูกาล 2016/17 โรดรี้ ได้รับโอกาสมากขึ้น ได้ลงเล่นในลาลีก้า 23 นัด แล้วกลายเป็นตัวหลักของ บีญาร์เรอัล เต็มตัวในฤดูกาล 2017/18 ได้ลงเล่นมากถึง 47 นัดรวมทุกรายการ ยิง 1 ประตู พลาดลงเล่นลาลีก้า เพียงแค่นัดเดียว

ฤดูกาล 2018/19 โรดรี้ ย้ายไปอยู่กับ แอตเลติโก้ มาดริด ด้วยค่าตัว 25 ล้านยูโร พร้อมสัญญา 5 ปี กลายเป็นตัวหลักของทีมทันที ยืนเป็นมิดฟิลด์คู่กลางร่วมกับ โธมัส ปาร์เตย์ ขนาบข้างด้วย ซาอูล ญีเกซ และ โกเก้ เป็นส่วนใหญ่ ได้ลงเล่น 47 นัดรวมทุกรายการ ยิง 3 ประตู

ฤดูกาล 2019/20 โรดรี้ ย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 62 ล้านปอนด์ เปิดตัววันที่ 4 สิงหาคม ในเกมชาริตี้ ชิลด์ อยู่ในสนามครบ 120 นาที ในเกมชนะจุดโทษ ลิเวอร์พูล 6-5 หลังจากนั้นอีก 5 วัน โรดรี้ ลงเล่นพรีเมียร์ลีกนัดแรก ยืนเป็นมิดฟิลด์ร่วมกับ เควิน เดอ บรอยน์ และ แบร์นาโด้ ซิลวา อยู่ครบ 90 นาที ในเกมชนะ เวสต์แฮม 5-0 หลังจากนั้น โรดรี้ ยึดตัวหลักของทีมเรื่อยมา ลงสนาม 52 นัดรวมทุกรายการ ยิง 4 ประตู แบ่งเป็นการลงเล่นพรีเมียร์ลีก 35 นัด และ UCL 8 นัด โดยฤดูกาลดังกล่าว ได้แมนฯ ซิตี้ ได้แค่แชมป์คาราบาว คัพ เท่านั้น

ฤดูกาล 2020/21 โรดรี้ ยังเป็นกำลังสำคัญของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เช่นเดิม ลงสนาม 52 นัดรวมทุกรายการ ยิง 4 ประตู แบ่งเป็นลงเล่นพรีเมียร์ลีก 35 นัด มีส่วนสำคัญในการคว้าแชมป์ และลงเล่น UCL 10 นัด มีส่วนในการพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะพ่ายให้ เชลซี 0-1 ซึ่ง โรดรี้ไม่ได้ลงเล่นในรอบรองฯ นัดที่ 2 กับนัดชิงชนะเลิศ

ฤดูกาล 2021/22 โรดรี้ ลงเล่นอีก 46 นัดรวมทุกรายการ ยิงได้ 7 ประตู เป็นการยิงได้มากที่สุดในอาชีพการค้าแข้ง จากนั้นในฤดูกาล 2022/23 โรดรี้ เป็นหนึ่งในกลจักรสำคัญที่ช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ โดยเขาได้ลงเล่น 56 นัดรวมทุกรายการ ยิง 4 ประตู เป็นการลงเล่นต่อ 1 ฤดูกาล มากที่สุดในเส้นทางอาชีพ
 
ฤดูกาล 2023/24 (ปัจจุบัน) โรดรี้ ยังอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลงสนาม 2 นัด (180 นาที) มี 1 สกอร์ 1 แอสซิสต์ ช่วยให้ทีมชนะรวด 2 นัด
ข้อมูลนับถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2023
#10

ล่าสุด  TripAdvisor Travelers Choice เว็บไซต์ชื่อดังเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ได้เปิดหัวข้อว่าในประเทศญี่ปุ่น เมืองไหนดีที่สุด น่าไปท่องเที่ยวมากที่สุดในปี 2023 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมากมายจากทั่วโลกเข้าไปโหวต โดยผลที่ออกมาจะเป็นเมืองไหน ที่ไหนบ้าง แล้วเพราะอะไรที่ทำให้เมืองนี้ต้องไป ทั้งหมดมีดังนี้

5 เมืองต้องไปเที่ยวเมื่อมาถึงญี่ปุ่นปี 2023

1. เมืองฟุกุโอกะ ชื่อภาษาอังกฤษ Fukuoka
เมืองนี้ถูกเรียกว่าเมืองหลวงของเกาะคิวชู ที่อยู่ในภาคใต้ของประเทศ การที่เมืองนี้อยู่ติดทะเลจึงมีชื่อเสียงอย่างมากในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ของกินที่อร่อยหลากหลาย ทั้งยังสดใหม่ฉ่ำๆ โดยเฉพาะอาหารทะเล แล้วยังเป็นเมืองที่อากาศดีไม่ร้อนไม่เย็นจนเกินไป ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ว่าในหรือนอกประเทศต่างชื่นชอบและหลงรักเมืองนี้ไม่น้อย

2. เมืองซัปโปโร ชื่อภาษาอังกฤษ Sapporo
เกาะฮอกไกโด มีเมืองหลวงที่อย่างซัปโปโร จึงเปรียบเหมือนจุดศูนย์กลางของที่นี่ โดยจุดเด่นของเมืองนี้คืออากาศที่หนาวเย็นทั้งปีไม่ว่าจะฤดูไหน ยิ่งหากเป็นฤดูหนาวจะติดลบอยู่เสมอๆ จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่ชอบความหนาวเย็นเป็นพิเศษ แล้วยังมีกิจกรรมแนว EXTREEM ที่น่าสนใจรอต้อนรับอยู่มากมาย ที่นี่คือเมืองที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น

3. เมืองโอซาก้า ชื่อภาษาอังกฤษ Osaka
จะบอกว่านี่คือเมืองที่คนไทยนิยมไปมากที่สุดเลยก็ว่าได้สำหรับเมืองโอซาก้า เมืองนี่ขึ้นชื่อเรื่องความเจริญมากๆ รองมาจากเมืองหลวงของประเทศเลยทีเดียว มีความสะดวกสบายครบถ้วน ที่เที่ยวครบครันไม่มีขาด แล้วจุดเด่นอย่างป้ายกูลูโกะ มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาถ่ายรูปตลอดทั้งวัน นอกจากนั้นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆของประเทศที่นี่ก็มีหมด เช่น Universal Studio หรือ Aquarium ที่ถูกยกให้ว่าที่ดีที่สุดของประเทศกันเลย

4. เมืองเกียวโต ชื่อภาษาอังกฤษ Kyoto
เมืองเกียวโตคือเมืองหลวงเก่าของประเทศ มีวัฒนธรรมที่สำคัญๆเก่าแก่ของประเทศเอาไว้มากมาย มีธรรมชาติรายล้อมเมืองที่สวยงาม ไม่ว่าใครที่มาเที่ยวยังเมืองนี้จะต้องชื่นชอบแน่นอน แล้วเมืองนี้ยังรวมรวมทั้งวัดชื่อดังกับศาลเจ้าที่สวยงามเอาไว้เยอะมากๆ นี่คือเมืองที่ห้ามพลาดเด็ดขาด

5. เมืองโตเกียว ชื่อภาษาอังกฤษ Tokyo
แล้วอันดับ 1 ก็คือเมืองหลวงของญี่ปุ่นอย่างโตเกียวนั่นเอง ที่นี่ผสมผสานระหว่างเมืองยุคเก่ากับยุคทันสมัยได้อย่างลงตัว คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้หลายอย่าง พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่เติบโตไม่หยุด แหล่งท่องเที่ยวมีเยอะจนเลือกไม่ถูก สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกๆคนที่ได้มาเยือน แล้วเมืองนี้จึงได้รับการโหวตให้เป็นเมืองน่าเที่ยวมากที่สุดของญี่ปุ่นไปอย่างสมราคา